วันอังคาร 19 มีนาคม 2024
  • :
  • :
Latest Update

ประวัติศาสตร์สอนไว้ให้คนปัจจุบันคิด -ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน


.
.
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมผู้ก่อการคณะราษฎรจึงสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ ได้อย่างง่ายดาย เพราะได้รับความร่วมมืออย่างยินดีปรีดาจากปัญญาชนและข้าราชการจำนวนมาก

บันทึกความทรงจำของจอมพลประภาส จารุเสถียรบทนี้ อาจจะตอบคำถามนั้นได้ 
.

ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนนายร้อยคนหนึ่งที่ได้รับการชักชวนจากนายร้อยเอกหลวงสวัสดิ์ณรงค์ (สวัสดิ์ ดาระสวัสดิ์) ซึ่งเป็นผู้บังคับกองร้อยให้เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ พร้อมกับเพื่อนนักเรียนนายร้อยชั้นสูงอีกจำนวนไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน

นายร้อยเอกหลวงสวัสดิ์ณรงค์ได้เรียกข้าพเจ้าไปพบ พูดคุยทาบทามอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ได้เล่าให้ฟังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตยอย่างในเมืองอังกฤษ มีการเลือกตั้ง มีการจัดคณะรัฐบาลขึ้นเพื่อความเสมอภาคระหว่างคนในชาติ ไม่มีเจ้าไม่มีนาย
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรายกไว้เป็นที่สักการะบูชา เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป

ผู้บังคับกองร้อยคนนี้ได้เคยมอบหมายให้ข้าพเจ้ากับนักเรียนนายร้อย โผน อินทรทัต หนีไปเที่ยวเพื่อทำหน้าที่สืบความลับว่ามหาชนมีความรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์บ้านเมือง และมหาชนได้ทราบวี่แววของการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไม่อย่างใด โดยได้เบี้ยเลี้ยงวันละ ๒ บาท พร้อมกับให้ปืนพก ๑ กระบอก

แท้จริงแล้ว นักเรียนนายร้อยมีความมั่นคงและเคารพรักต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้บังคับการพิเศษของตนอย่างมากทีเดียว
ข้าพเจ้าเองเคยได้รับบาดเจ็บ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าหงายมือให้พระองค์ท่านทอดพระเนตรบาดแผล แล้วพระองค์ท่านได้ยื่นพระหัตถ์ออกมาให้ข้าพเจ้าจับ แสดงว่าทรงพอพระทัยที่มีน้ำใจไม่สะทกสะท้าน และเพื่อเป็นการบำรุงขวัญด้วยในขณะเดียวกัน
จึงอาจกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก และเป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำไม่ลืม

ถึงแม้ว่านักเรียนนายร้อยจะมีความเคารพรักต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสักเพียงใดก็ตาม แต่ว่ายังมีสิ่งอื่นๆ เป็นเครื่องประกอบและผลักดันให้พวกเขาส่วนหนึ่งต้องเอนเอียงและเข้าร่วมมือกับฝ่ายผู้เปลี่ยนการปกครองในขณะนั้น

นั่นก็เพราะคณะผู้เปลี่ยนการปกครองฝ่ายทหารที่ร่วมมือกับฝ่ายพลเรือนที่จะเปลี่ยนการปกครองได้วางเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าจะใช้กำลังนักเรียนนายร้อนเป็นด้านหลัก เพราะว่าส่วนมากนายทหารที่เป็นหัวหน้าเปลี่ยนการปกครองอันได้แก่ นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ก็ดี นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ก็ดี และคนอื่นๆ รองๆ ลงไปอีกเป็นจำนวนมากหลายคนเกือบ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ล้วนแต่เป็นผู้บังคับบัญชาและครูบาอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อย แทบทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าได้มาทราบภายหลังว่า พวกนายทหาร “ผู้ก่อการ” ทราบดีว่านักเรียนนายร้อยมีความรักและมั่นคงอยู่ในเรื่องความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก
ดังจะเห็นได้ว่า หลายครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีก็ดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียนนายร้อยทหารบก นักเรียนนายร้อยจะเข้าไปแห่ห้อมล้อมรถพระที่นั่ง แล้วเข็นรถพระที่นั่งทั้งเข้าออกโดยไม่ต้องติดเครื่อง และไชโยโห่ร้องกันเป็นที่สนุกสนาน ทั้งพระองค์ท่านก็ทรงปิติยินดีและทรงสนุกสนานไปด้วยโดยไม่ถือพระองค์

เพราะฉะนั้น บรรดานายทหารผู้ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงวางกลอุบายที่จะทำให้นักเรียนนายร้อยเกิดความเกลียดชังในระบบเจ้านายให้ได้

การดำเนินตามแผนเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่ยากนัก เพราะในโรงเรียนนายร้อยเวลานั้นก็มีเจ้านายหลายพระองค์ด้วยกันที่ยังศึกษา ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ลงมาจนถึงหม่อมหลวง สำหรับพวกเจ้านายซึ่งทางโรงเรียนได้จัดไว้ และให้สิทธิพิเศษเพื่อเป็นการแบ่งแยกออกมาให้อยู่คนละฐานะกับนักเรียนนายร้อยทั่วๆไป เพื่อให้นักเรียนนายร้อยเกิดความรู้สึกในเรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะว่า เจ้านายเป็นพวกหนึ่ง ส่วนนักเรียนนายร้อยที่ไม่ใช่เจ้านายก็เป็นอีกพวกหนึ่งต่างหาก มีสิทธิไม่เสมอกัน

จะเห็นได้จากตัวอย่าง เจ้านายชั้นพระองค์เจ้า หม่อมเจ้า ได้นั่งโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งต่างหากออกไป เขาเรียกว่า “โต๊ะเจ้า” ที่ “โต๊ะเจ้า” ปูด้วยผ้าขาว ขณะที่นักเรียนนายร้อยทั่วไปใช้ผ้าน้ำมันสีดำปู เนื่องจากเป็นผ้าที่เช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย ใช้น้ำล้างโดยไม่ต้องซักแล้วเอาผึ่งแดด
มีแต่ “โต๊ะเจ้า” โต๊ะเดียวเท่านั้นที่ปูด้วยผ้าขาวสะอาด ส่วนจานชามต่างๆของนักเรียนนายร้อยและนักเรียนนายดาบทั่วไปใช้จานชามอะลูมิเนียม เพราะว่าถ้าใช้จานชามกระเบื้องจะแตกหักง่ายในเวลาล้าง หรือยกทำความสะอาด หรือเวลานักเรียนนายร้อยใช้ช้อนเคาะชามอันแตกต่างไปจาก “โต๊ะเจ้า” ที่ใช้จานและชามกระเบื้องอย่างดี สั่งมาจากห้างฝรั่งมีลวดลายสวยงาม

บ๋อยที่เสิร์ฟตามโต๊ะก็มีการแบ่งแยกเช่นกัน “โต๊ะเจ้า” ใช้บ๋อย ๒ คน แต่ของนักเรียนนายร้อยทั่วๆไป ใช้บ๋อยคนเดียวต่อ ๒ โต๊ะ อันเท่ากับแสดงให้เห็นว่าสิทธิแตกต่างกันในเวลากินอาหาร แล้วอาหารก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย กล่าวคือ สำหรับของสำรับเจ้ามีสำรับพิเศษส่งมาจากในวัง ห่อผ้าขาวมาโดยมหาดเล็กนุ่งผ้าม่วงมาส่งที่โต๊ะ แก้ผ้าขาวออกเชิญสำรับมาวางที่โต๊ะ พวกเจ้านายก็เสวยกันที่โต๊ะ ของอย่างที่นักเรียนนายร้อยกิน ท่านไม่เสวย ทำให้พวกเรามีความรู้สึกว่าพวกเจ้าทำอะไรและมีอะไรผิดแผกแตกต่างไปจากพวกนักเรียนนายร้อย และนักเรียนนายดาบธรรมดา

แม้แต่สิทธิในการอยู่โรง การหลับนอน ก็เหมือนกัน พวกเจ้ามีสิทธิจะออกไปนอกโรงเรียนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องลา เพียงแค่เซ็นชื่อไว้ที่สมุดเวรเท่านั้นว่าจะไปไหนและกลับเมื่อใด แล้วก็ไปได้ ส่วนนักเรียนนายร้อยและนักเรียนนายดาบทั่วไปทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด แม้จะไปลาก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะได้รับอนุญาตให้ออกนอกโรงเรียน แต่ว่าสำหรับนักเรียนนายร้อยที่เป็นเจ้านั้นสามารถไปได้ทุกเวลา บางคนทุกวันไม่เคยนอนโรงเลย กลับไปนอนบ้าน เช้ามืดนั่งรถยนต์มาฝึก เวลาฝึกก็ไม่ทำการฝึก เพียงแต่มายืนๆ เกร่ดูเท่านั้น เพียงแต่มาแจ้งว่าไม่สบายก็ไม่ต้องฝึก ผู้บังคับหมวดและผู้บังคับกองร้อยก็ไม่ได้ว่ากระไร

เวลาออกไปฝึกภาคสนามอันเป็นเวลาที่ทุกข์ยากลำบากมาก ต้องกรำแดดตั้งแต่เช้าจนค่ำ ต้องขุดดินฟันดิน ต้องเดินต้องวิ่งตลอดเวลา แต่พวกเจ้าไม่ต้องทำ เพียงแต่ไปดูเท่านั้น มีรถยนต์ไปส่งถึงที่ทำการฝึก ขณะที่นักเรียนนายร้อยหรือนักเรียนนายดาบทั่วๆ ไป ต้องเดินหรือวิ่งไปเป็นระยะทาง ๕-๖ กิโลเมตร

คิดดูก็แล้วกัน จากโรงทหารที่ราชบุรีวิ่งข้ามแม่น้ำไปจนถึงเขาวัง ระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร วิ่งอยู่อย่างนี้ ตากแดดอยู่อย่างนั้นวันยังค่ำทุกวัน เหล่านี้เป็นวิธีการที่พวกนายทหารชั้นผู้ใหญ่เขาสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อให้เห็นถึงการแบ่งชั้นวรรณะระหว่างพวกเจ้านายกับพวกคนธรรมดา ทำให้พวกเราเกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังพวกเจ้าเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น พอสิ้นปีบรรดาพวกเจ้าทั้งหลายยังได้รับพระราชทานยศก่อน และได้เป็นนายทหารก่อนพวกเราเสียอีก

ข้าพเจ้าเอง เวลานั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ต่อมาภายหลังจึงได้ทราบว่าเป็นอุบายของบรรดาอาจารย์ที่ได้ทำเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชมเชยนักเรียนนายร้อยชั้นพระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ ว่ามีความขยันขันแข็งตั้งหน้าตั้งตารับการฝึกเป็นอย่างดี จนมีความสามารถอดทนต่อความลำบากตรากตรำเป็นอย่างสูง สมควรจะได้รับพระราชทานยศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงเห็นว่าโรงเรียนเสนอมานับว่าชอบแล้ว จึงทรงเห็นสมควรพระราชทานยศไปให้ออกเป็นนายทหารได้ ขณะที่นักเรียนนายร้อยคนอื่นๆ ต้องฝึกต่อไป ๓ เดือนก็มี ๖ เดือนก็มี จึงจะได้ออกเป็นนายทหาร อย่างนี้ เป็นต้น

นักเรียนนายร้อยทั้งหลายจึงเห็นถึงความแตกต่าง และความไม่เสมอภาคกันในสิทธิสภาพ ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงและความเอาเปรียบของพวกเจ้านายต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทำให้เกิดความชิงชังขึ้นระหว่างพวกนักเรียนนายร้อยธรรมดาสามัญกับนักเรียนนายร้อยที่เป็นเจ้าทั้งหลาย อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเรียนนายร้อยเอาใจออกห่างจากพวกเจ้า

พร้อมกันนั้น ในการชักชวนให้นักเรียนนายร้อยร่วมมือด้วยบรรดานายทหารผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ได้กล่าวและได้พูดเป็นเชิงให้สัญญากับนักเรียนนายร้อยว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อความเสมอภาคกันระหว่างคนในชาติ ไม่มีเจ้า ไม่มีนาย ทุกคนเสมอเหมือนกันหมด มีสิทธิเท่ากัน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยและของคนไทยอยู่ต่อไป โดยมิได้กระทบกระเทือนหรือลดฐานะตำแหน่งลงมาแต่อย่างใด เหล่านี้เองที่ทำให้นักเรียนนายร้อยมีความเอนเอียงและเข้าร่วมมือกับผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า มีนักเรียนนายร้อยชั้นสูงหลายคนเป็นจำนวนประมาณ ๕๐ คน หรือไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน ที่รู้ล่วงหน้าโดยได้รับการชี้ชวนจากบรรดานายทหารผู้บังคับบัญชาให้ร่วมมือด้วย และยอมร่วมมือด้วยตั้งแต่เมื่อแรกเริ่มกระทำการ

นักเรียนนายร้อยเหล่านี้เองที่ได้เป็นหัวแรงสำคัญในการร่วมมือและชักชวนพวกพ้องให้เข้าร่วมด้วยในเวลาเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ จนสำเร็จได้ในที่สุด
.
.
อ่านแล้วเศร้า
ชีวิตวัยเด็กของผมครั้งอยู่โรงเรียนประจำที่วชิราวุธวิทยาลัย เพื่อนร่วมรุ่นมีทั้งหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง และสามัญชนหลากหลายฐานะ เป็นเด็กบ้านนอกก็มี แต่ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ในระหว่างเพื่อนมีแต่ไอ้ ไม่มีท่านสักคน พวกเราไม่ว่าจะรุ่นไหนๆ จึงถือเสมือนพี่น้อง แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

เรื่องที่จอมพลประภาสเล่า ถือเป็นความโหดร้ายอย่างมากของบุคคลระดับครูบาอาจารย์ที่เสี้ยมศิษย์ให้ชิงชังเป็นศัตรูต่อกันเพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งไม่มีอะไรจะเปิดแผลได้รุนแรงกว่าการแบ่งแยกชนชั้น ที่ถูกมาย้ำให้เห็นทั้งทางตาและทางใจ
.
ผมเอามาให้อ่านด้วยเจตนาให้เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ มิได้มีเจตนาจะให้มาด่ากันนี้เพื่อความสะใจของใคร

ขอความกรุณาแสดงความเห็นที่คิดว่าสร้างสรรด้วยความระมัดระวังนะครับ ขอโทษด้วยหากผมจะลบข้อความที่หมิ่นเหม่ หรือลบโพสต์นี้ทิ้งไปเลย