วันศุกร์ 29 มีนาคม 2024
  • :
  • :
Latest Update

ส.ศิวรักษ์ ผู้ลุ่มหลงตัวเอง

cats

พฤษภาคม ๒๕๕๕

             จากกรณีที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้มีจดหมายถึงนิตยสารฟ้าเดียวกันนำเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่ตนเองกำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในปัจจุบัน พฤติกรรมของนายสุลักษณ์ฯที่ผ่านมาได้อาศัยความชำนาญที่เป็นนักพูดออกมากล่าว จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ วิพากษ์วิจารณ์กล่าวให้ร้ายต่อบุคคลและสถาบันอื่นๆตลอดระยะเวลาหลายสิบปี โดยหวังผลให้ตนเองได้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถและกล้าที่จะแสดงออก วิจารณ์บุคคลอื่นๆ การจาบจ้วงโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดังนับว่าเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายที่สุด นายสุลักษณ์ฯชอบนำแต่ละเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มากล่าวบิดเบือนให้คนทั่วไปเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษตริย์ในด้านลบแต่เพียงอย่างเดียว

แล้วอ้างว่าตนเองวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความหวังดี ชอบแกล้งแสดงออกว่าตนเองเป็นRoyalist(นิยมสถาบันพระมหากษัตริย์) นี่ไม่ใช่ความจริงใจ แต่เป็นความเจ้าเล่ห์ อยากให้เขาใช้พฤติกรรมเช่นนี้ไปแสดงความหวังดีต่อครอบครัวของตนเอง ทำไมไม่สร้างเรื่องบิดเบือนวิพากษ์วิจารณ์ พ่อ แม่ ลูกเมียของตนเองออกสู่สาธารณชนด้วยความหวังดีบ้าง จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นๆ อย่าบอกนะว่าครอบครัวคนรอบข้างตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่ดีเลิศประเสริฐศรีไม่เคยมีข้อด่างพร้อยใดๆ

ไม่ทราบว่าเก่งกาจมาจากไหนจึงมาเสนอแนะให้มีการปรับปรุงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมา 4 ครั้งแล้ว คนปกติที่รักเพื่อนรักลูกน้องมีความหวังดีอย่างจริงใจ ก็ต้องไม่ออกไปวิพากษ์วิจารณ์ด่าเพื่อนด่าลูกน้องต่อสาธารณชน คนแบบนี้เขาเรียกว่าคนบ้า คนเลวมากกว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงทำงานทุ่มเทด้วยความเหนื่อยยากมาตลอดเวลากว่า 60 ปี ไม่ได้ทรงทำงานเพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อปวงชนชาวไทย และประเทศชาติ วันนี้ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว พวกเราคนไทยต้องช่วยกันปกป้อง อย่าให้กลุ่มบุคคลแบบนายสุลักษณ์ฯออกมารุมจาบจ้วงพระองค์อยู่ฝ่ายเดียว เรื่องที่นายสุลักษณ์ฯออกมาวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเป็นการชี้นำในมุมมองแง่ลบแต่เพียงอย่างเดียว อย่างเช่น

           1.ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในความเป็นจริงการแก้ไขกฎหมายไม่ได้เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญมากจะคิดปรับปรุงแก้ไขอย่างไร สมควรให้ประชานทั่วประเทศเห็นชอบด้วย เจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้ สืบเนื่องมาจากบุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในฐานะที่ป้องกันตัวเองได้ยาก

เมื่อมีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะทรงเป็นโจทย์ดำเนินการฟ้องร้องต่อผู้ใดย่อมไม่มีความเหมาะสม ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ มิฉะนั้นจะเป็นประโยชน์กับบุคคลที่ชอบกล่าวให้ร้ายกับสถาบันพระมหากษัตริย์

และบุคคลเหล่านี้มักจะกล่าวอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามได้ใช้กฎหมายฉบับนี้ฟ้องร้องคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือ ผลประโยชน์สวนตัวซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด หากตนเองไม่ได้กระทำความผิดก็สามารถไปต่อสู้คดีความในศาลยุติธรรม ศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าถูกหรือผิด

นอกจากนั้นผู้ที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดก็มักจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอ

            2.นายสุลักษณ์ฯ ได้กล่าวข้อความในจดหมายว่ามีผู้คนจำนวนมากทำหนังสือกราบบังคมทูลฯขอความเป็นธรรมให้กับตนเองในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยผ่านทางราชเลขาธิการแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

เรื่องที่เกิดขึ้นแบบนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่สามารถที่จะไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมได้ ต้องให้ศาลยุติธรรมตัดสินก่อนถ้าไม่ผิดก็พ้นคดีไปถ้าผิดจริงต้องถูกลงโทษ แล้วเจ้าตัวจึงจะขอพระราชทานอภัยโทษไม่เช่นนั้นจะเป็นแบบอย่างให้ผู้ต้องหาทุกคนก็จะทำหนังสือทูลเกล้าขอความเป็นธรรมเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินกันหมดทุกคน

การทูลเกล้าเสนอหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีหรือไม่ มีหลายฉบับที่เดียวแต่ไม่ใช่คดีความแบบนี้ ซึ่งสำนักราชเลขาธิการก็จะส่งหนังสือเหล่านั้นไปให้กับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงกลับมาและมีหนังสือกราบบังคมทูลฯข้อเท็จจริงให้ทรงทราบต่อไป

            3.นายสุลักษณ์ฯมักจะวิจารณ์เรื่องโครงการพระราชดำริ ข้อเท็จจริงก่อนที่จะมีพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนและ ทรงศึกษาเรื่องที่จะดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ นอกจากนั้นยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่โดยทรงมีพระราชดำรัสกับราษฎร เพื่อทรงรับทราบความคิดเห็น พระราชดำริก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะนำมาจัดทำโครงการทั้งหมด เรื่องใดที่เหมาะสมรัฐบาลมีความพร้อมก็จะนำมาดำเนินการบางเรื่องที่ยังไม่พร้อม รัฐบาลไม่ได้นำมาดำเนินการก็มี

สำหรับเรื่องที่รัฐบาลนำมาดำเนินการก็จะต้องมีการตรวจสอบตามขั้นตอนอยู่แล้วทุกโครงการ เหมือนกับโครงการอื่นๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินงานตามปกติ ไม่มีเหตุผลที่นายสุลักษณ์ฯ ชอบมากล่าวมั่วว่าควรเปิดเผยให้โปร่งใส ถ้าเห็นว่าไม่โปร่งใสอย่างไร ก็สามารถนำพยานหลักฐานมาฟ้องร้องหน่วยงานที่ดำเนินการได้ตามกฎหมาย

          4.เรื่องการที่ประชาชนถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นายสุลักษณ์ฯชอบกล่าวถึงว่าให้มีการตรวจสอบและเปิดเผยให้ชัดเจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมีความจำเป็นที่จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ส่วนพระองค์แต่อย่างใด ที่ผ่านมาพระองค์ทรงจัดสรรให้กับมูลนิธิต่างๆที่ทรงตั้งขึ้นมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติ การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิก็มีการตรวจสอบตามระเบียบ และกฎข้อบังคับของมูลนิธิอยู่แล้ว

เมื่อผู้เป็นบุตร ธิดา จบการศึกษาทำงานได้รับเงินเดือน คนที่มีความกตัญญูรู้คุณก็มักจะแบ่งมอบเงินเดือนให้กับ บิดามารดา บางคนมอบให้ทุกเดือน บางคนมอบให้ตอนต้นเดือนพอกลางเดือนเงินหมด ก็กลับไปขอเงินอีก ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้ทุกครอบครัว จะต้องให้มีการตรวจสอบกันทุกครอบครัวหรือว่า บิดา– มารดา นำเงินที่บุตร ธิดามอบให้นั้นไปทำอะไรบ้าง เป็นเรื่องเพ้อเจ้อสิ้นดีที่มีคนคิดแบบนี้นายสุลักษณ์ฯเองก็ไปขอเงินจากองค์กรต่างประเทศอยู่เสมอไม่เห็นตรวจสอบอะไร

          5.เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็ชอบนำมาวิจารณ์ในลักษณะว่าคนร่ำรวยนั้นขัดกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยพระราชทานชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตของบุคคล และแนวทางการดำเนินงานขององค์กร หน่วยงานต่างๆจนถึงภาครัฐ ก็สามารถนำปรัชญานี้ไปใช้ปฎิบัติได้ เพื่อให้บุคคล หน่วยงานและประเทศชาติมีความมั่นคงแม้จะเกิดภาวะวิกฤติใดๆ ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้

แนวทางนั้นก็คือให้ยึดหลัก ความพอประมาณ ความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี ศึกษาให้รู้จริง และความมีคุณธรรมหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามความร่ำรวย หรือ ความเจริญรุ่งเรือง แต่อย่างใดและคนรวยไม่ใช่คนเลว คนรวย คนปานกลาง คนจน ก็มีสิทธิเป็นคนดีได้ทั้งนั้น อย่าคิดแต่ในแง่ลบอย่างเดียว

          6.ข่าวในพระราชสำนักก็ออกมาวิจารณ์ว่าเหมือนกับถูกบังคับให้ดูและเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ อันที่จริงก็ไม่ได้มีกฎหมาย ไม่มีใครบังคับให้ต้องดู และก็ไม่ได้มีทั้งวันทั้งคืนที่เปิดมาเจอแต่ข่าวพระราชสำนัก คนที่เขาสนใจอยากดูก็มี บางคนไม่ได้ดูจนจบก็เปลี่ยนไปดูเรื่องอื่นๆที่เขาอยากดูในห้วงเวลาเดียวกันก็มีซึ่งก็ไม่ได้เสียหายแต่ประการใดทำไมต้องเดือดร้อนนักหนา

           7.เรื่องขบวนเสด็จฯ ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลพิจารณาด้านการจราจรเพื่อให้มีความสะดวกรถติดน้อยลงโดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ซึ่งได้มีการพัฒนาปรับปรุงไปมากแล้วขบวนเสด็จฯสั้นลงจนท. ตร กั้นรถประมาณ 5-6 นาทีเท่านั้น และยกเลิกการปิดช่องจราจรบางช่องเพื่อไม่ให้รถติดทุกช่องทางไปแล้ว

           8.เรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นั้นอยากให้นายสุลักษณ์ฯได้ไปศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ จะได้ไม่วิจารณ์ผิดๆ ถูกๆอีกต่อไป ไม่ใช่หลับหูหลับตาวิจารณ์ไปเรื่อยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ลองไปหาข้อมูลดูว่า ค่าเช่าของสำนักงานทรัพย์สินฯถูกกว่าเอกชนเพียงใดทราบว่าบางแห่งเดือนละ 100 บาทก็มี คนยากคนจนในชุมชนแออัดที่เคยอยู่ในฐานะผู้บุกรุก เขาก็ได้พัฒนาจากสภาพที่เป็นสลัมให้เป็นบ้านมั่นคงและเปลี่ยนฐานะให้เป็นผู้เช่าโดยคิดค่าเช่าในราคาถูกที่สุด

การขอพื้นที่คืนจากผู้เช่าเนื่องจากถูกเวรคืนจากทางราชการ หรือเพื่อนำมาดำเนินการพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ทางสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ให้โอกาสผู้เช่าสามารถกลับมาอยู่ที่เดิมได้หรือถ้าสมัครใจจะไปหาที่อยู่ใหม่ ก็จะจ่ายเงินค่าชดเชยตอบแทน เป็นจำนวนเงินที่มากว่าค่าเช่าทั้งหมดที่เคยได้รับไป

เรื่องดังกล่าวควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรมไม่ใช่มองในแง่ร้ายอย่างเดียว หน่วยงานเขามีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินไม่ใช่ให้มานั่งเฝ้าทรัพย์สิน งานด้านสังคมที่ปรากฎข่าวในสื่อมวลชนก็มีเป็นจำนวนมากเช่นการให้ทุนการศึกษากับนักเรียน นักศึกษา การทำนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ การปรับปรุงอาคารอนุรักษ์ การสนับสนุนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การสนับสนุนกีฬาเยาวชน การก่อสร้างอาคารนิทรรศการรัตนโกสินทร์ การสนับสนุนสร้างสวนสาธารณะการสนับสนุนหน่วยงานตำรวจ ทหาร มหาวิทยลัย สวนสัตว์ เอกชนอื่นๆ ฯลฯ งบประมาณที่ใช้ในการดูแลสังคมดังกล่าวน่าจะเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาทต่อปี

แน่นอนละสิ่งที่เป็นข้อบกพร่องของหน่วยงานนี้ คงจะมีอยู่บ้างไม่ใช่จะมีแต่ดีอย่างเดียว แต่ก็มีวิธีการอื่น ที่สามารถประสานงานทำความเข้าใจเพื่อให้มีการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นไปในทางสร้างสรรค์ได้

จากจดหมายฉบับนี้ของนายสุลักษณ์ฯอ่านแล้วก็ไม่ทราบวัตถุประสงค์ว่าในใจแท้จริงต้องการอะไรกันแน่ ต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาช่วยให้พ้นผิดจากคดีความ หรือว่าต้องการให้ตนเองถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลที่เอ่ยถึงในจดหมายนี้เพิ่มเติมขึ้นมาอีก อยากให้นายสุลักษณ์ฯได้สงบสติอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัว เพื่อที่จะเกิดปัญญาใช้ความคิดอย่างรอบคอบเดินไปในทางที่ถูกต้องเป็นคุณประโยชน์กับตนเองเสียก่อนที่จะไปห่วงใยในเรื่องอื่นๆ เวลานี้ดูแล้วเหมือนลิงติดร่างแหดิ้นรนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่มีใครแก้ให้ได้ถ้ายังไม่หยุดนิ่ง

             กรณีที่มีกลุ่มบุคคลออกมาเคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์แม้จะเป็นการนำเหตุการณ์บางตอนมาปรุงแต่งขึ้นเอง เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังผลทางจิตวิทยาให้คนคล้อยตาม โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ศึกษาหรือรับรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องที่ถูกดัดแปลงต่อเติมมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีงบประมาณประจำปีในการพิทักษ์สถาบันพระมากษัตริย์หลายพันล้านบาทต่อปี ขอได้กรุณาดำเนินงานอย่างจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรมที่ผ่านมายังไม่สามารถสกัดกั้นให้เป็นผลได้

โดยเฉพาะสื่อทางอินเทอร์เน็ตและสถานีวิทยุชุมชน ปัจจุบันสถานีวิทยุหลักบางช่องของทางราชการก็เริ่มออกอากาศแบบกำกวมขึ้นมาบ้างแล้ว อย่าเอาแต่ประชาสัมพันธ์ว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่เป็นรูปธรรมก็เท่ากับนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปใช้ประโยชน์ให้กับตนเอง ประชาชนที่จงรักภักดีก็จะขาดที่พึ่งและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามขอให้ดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ใจ ประชาชนไม่ต้องการให้มีการนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว